วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Review การใช้งานโปรแกรม CCleaner


(ไอคอนโปรแกรม CCleaner)

โปรแกรม CCleaner มีไว้ใช้ทำอะไร?
1.ล้างไฟล์ขยะต่างๆในระบบหรือไฟล์ต่างๆที่ทำให้เบราเซอร์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราช้า เช่น ไฟล์ชั่วคราวที่สร้างขึ้นขณะใช้งานคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต (Temporary Files) ไฟล์ประวัติการใช้งาน การเข้าถึงเว็บไซต์ต่างๆที่ผ่านมาในอดีต (History Files) ไฟล์คุกกี้
2.การแก้ไข Registy ที่ผิดพลาดในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา
3.ใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการ เช่น ถอนการติดตั้งโปรแกรม ลบโปรแกรม กำหนดโปรแกรมเริ่มต้น วิเคราะห์ดิสก์ ค้นหาไฟล์ซ้ำ คืนค่าระบบและล้างฟอร์แมตไดรฟ์

วิธีใช้งานโปรแกรม CCleaner เบื้องต้น
   สำหรับท่านใดที่ยังไม่มีโปรแกรมนี้ติดตั้งอยู่ในคอมพิวเตอร์ สามารถดาวน์โหลดได้จากลิ้งค์ดังต่อไปนี้เลยนะครับ:p https://www.piriform.com/ccleaner/download
มาเริ่มใช้งานโปรแกรมCCleanerกันเลยย ^^

(สำหรับการแก้ไขRegisty)
1.  เปิดโปรแกรมขึ้นมา จากนั้นกดเมนู Registy > จากนั้นให้ติ๊ก(√) ในหัวข้อ Registry Integrity ให้หมด และให้กด Scan for Issues จากนั้นรอสักคู่จนกว่าจะครบ 100 % ระบบจะแจ้งขึ้นมาว่ามีไฟล์ตัวไหนบ้างที่ให้ซ่อมแซมCCleaner_1

2. และต่อจากนั้นให้เรากด Fix selected issues และระบบจะถามว่าเราจะทำการ Backup ก่อนการซ่อมแซมหรือเปล่า ให้เรากด No ไปครับ
CCleaner_2
3. ขั้นตอนนี้ให้กด Fix All selected Issues เพื่อเป็นการซ่อมแซมไฟล์ทั้งหมด เท่านั้นก็เป็นอันเสร็จสิ้นการซ่อมแซมไฟล์แล้วครับ
CCleaner_3

(สำหรับการทำความสะอาดไฟล์ขยะ)
1. กดเลือกเมนู Cleaner > จากนั้นให้กด Analyze เพื่อให้ระบบทำการสแกนสักครู่ จนขึ้นครบ 100% > จากนั้นกด Run Cleaner เพื่อเป็นการทำความสะอาดไฟล์ใน windows ของเรา
CCleaner_4
เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้คอมพิวเตอร์ของเรานั้นไวขึ้นได้อีกนิดหน่อยแล้วนะครับ เห็นมั้ยครับว่ามันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย อิอิ

สำหรับท่านใดที่อาจจะงงๆกันอยู่ในการใช้โปรแกรมCCleanerนี้ ผมมีคลิปวิดีโอดีๆ รีวิวการใช้งานอีกทางเลือกหนึ่งด้วยนะครับ 

(ขอขอบคุณคลิปวิดีโอดีๆจากเว็บไซต์ Thaiware.com)

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วิเคราะห์ข้อสอบ Onet คอมพิวเตอร์ 5 ข้อ

   สวัสดีครับพี่ๆน้องๆทุกๆท่าน เคยสงสัยกันมั้ยครับว่าการสอบ O-NET นั้นคืออะไร สำคัญอย่างไรต่อตัวเรา เรามาไขข้อสงสัยไปพร้อมๆกันเลยนะครับ ^^  O-NET คือการทดสอบการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน ซึ่งในภาษาฝรั่งก็คือ Ordinary National Education Test ที่จัดสอบโดย สทศ. นักเรียนในระดับชั้น ป.6 ม.3 และ ม.6 ทุกๆคนมีความจำเป็นที่จะต้องเข้ารับการสอบซึ่งการสอบ O-NET นี้จะใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของโรงเรียนในสังกัดต่างๆให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ โดยข้อสอบจะประกอบไปด้วยเนื้อหา 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ดังนี้
  1. ภาษาไทย
  2. สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
  3. ภาษาอังกฤษ
  4. คณิตศาสตร์
  5. วิทยาศาสตร์
  6. สุขศึกษาและพลศึกษา
  7. การงานอาชีพและเทคโนโลยี
  8. ศิลปะ


และนอกจาก O-NET จะใช้เป็นตัววัดระดับการศึกษาของเด็กไทยแล้ว ยังเป็นคะแนนที่เพื่อนๆน้องๆระดับชั้นต่างๆต้องนำไปใช้ในการสมัครเข้าเรียนระดับชั้นต่อไปด้วย ก็คือ น้องๆชั้น ป.6 และ ม.3 ต้องใช้คะแนน O-NET สมัครเข้าเรียน ม.1 และ ม. 4 โดยให้น้ำหนัก 20% (โดยจะมีผลตั้งแต่ปีการศึกษา 2554 เป็นต้นไป) และสำหรับเพื่อนๆ ม.6 ใช้คะแนน O-NET ในการสมัคร Admission 30% ครับ
เพื่อนๆน้องๆอาจจะเกิดข้อสงสัยกันนะครับว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสอบมั้ย? แล้วจะสอบกันเมื่อไรหละ? การสอบ O-NETนั้นจะไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆในการสอบโดยจะทำการสอบกันทุกเดือนกุมภาพันธ์ และจะประกาศผลประมาณปลายเดือนมีนาคมของทุกปี

ตัวอย่างโจทย์ O-NET ม.6 วิชาคอมพิวเตอร์ 5 ข้อ


ข้อ 1 องค์ประกอบข้อใดที่ทำให้การรับส่งข้อมูลระหว่างหน่วยต่างๆในระบบคอมพิวเตอร์รวดเร็วและได้ปริมาณมาก
1. แรม
2. บัส 
3. หน่วยประมวลผลกลาง 
4. จอภาพ
5. การ์ดจอ 

ข้อ 2 หน่วยงาน A ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์บนเครือข่าย LAN หน่วยงาน B ใช้ระบบปฏิบัติการลินุกซ์บนเครือข่าย WAN ถ้าสองหน่วยงานนี้ต้องการติดต่อสื่อสารส่งข้อมูลกัน ต้องใช้โพรโทคอลชนิดใด
1. ใช้ TCP/IP และ POP3 
2 .ใช้ FTP เหมือนกัน 
3 .ใช้ TCP/IP เหมือนกัน
4 .ใช้ SMTP และ IrDA 
5 .ใช้ FTP และ IrDA

ข้อ 3 บุคคลในข้อใดไม่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสร้างชิ้นงานหรือโครงงานอย่างมีจิตสำนึกและความรับผิดชอบ
1. เอดาวน์โหลดซอฟต์แวร์สร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์แบบทดลองใช้มาทำชิ้นงานส่งอาจารย์ 
2. บีทำสำเนาซอฟตแวร์เกมที่เขียนขึ้นเองไว้10 ชุดเพื่อเก็บไว้และแจกจ่ายคนรู้จัก
3. ซีสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่องคำบาลีสันสกฤตมอบให้ห้องสมุดของโรงเรียน
4. ดีพัฒนาซอฟแวร์ควบคุมการทำงานของไฟฟ้าในบ้านต่อยอดจากรุ่นพี่เพื่อส่งประกวดในงานเปิดโลกเทคโนโลยี 
5. เอฟเปลี่ยนชื่อโครงงานและดัดแปลงโครงงานของเพื่อนมาเป็นโครงงานของตนเองเพื่อส่งอาจารย์

ข้อ 4 กลุ่มเพื่อนไทยต้องการทำโครงงานเกี่ยวกับการควบคุมเครื่องรดน้าต้นไม้และให้อาหารปลาผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่โครงงานที่กลุ่มเพื่อนไทยต้องการทำเป็นโครงงานประเภทใด
1. การพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา 
2. การพัฒนาเครื่องมือ
3. การทดลองทฤษฎี 
4. การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์
5. การประยุกต์ใช้งาน

ข้อ 5 กรกตต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับกระเช้าสีดำว่าเป็นชื่อพืชหรือชื่อขนม กรกตจะพิมพ์คำสืบค้นตามข้อใด 
1. กระเช้าสีดำ (พืช OR ขนม)
2. กระเช้า* สีดำ*
3. “กระเช้าสีดำ” 
4. กระเช้า-สีดำ 
5. กระเช้า+สีดำ

เฉลย

ข้อ 1 ตอบ 2) เพราะบัสเปรียบเสมือนเส้นทางขนส่งขอ้มูลยิ่งมีบัสมากจ็ะรับ-ส่งข้อมูลได้รวดเร็ว

ข้อ 2 ตอบ 3) เพราะเครือข่ายคอมพิวเตอร์จะรับ-ส่งข้อมูลกันได้ต้องใช้โพรโทคอลชนิดเดียวกันและ TCP/IP ใช้ในการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแตกต่างกันและอยู่บนเครือข่ายแตกต่างกัน

ข้อ 3 ตอบ 5) เพราะเป็นการทำซ้ำดัดแปลงผลงานของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต แสดงถึงการขาดจิตสำนึกที่ดีและขาดความรับผิดชอบ 

ข้อ 4 ตอบ 5) เพราะเป็นโครงงานที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เขียนโปรแกรมเพื่อสร้างผลงานประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

ข้อ 5 ตอบ 1) เพราะจะช่วยจำกัดขอบเขตของการค้นหาให้อยู่ในกรอบที่เราต้องการเท่านั้น

   จะเห็นได้ว่าการสอบO-NETนั้นมีความสำคัญต่อตัวเราเป็นอย่างมากและจะสอบได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ผลการสอบจะติดตัวเราไปตลอดชีวิต ดังนั้นเพื่อนๆน้องๆควรวางแผนในการสอบให้ดี หมั่นอ่านหนังสือทบทวนความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาบ่อยๆ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้เราประสบผลสำเร็จในการสอบ อย่าลืมไปว่าไม่มีใครเก่งมาแต่เกิดทุกๆอย่างล้วนขึ้นอยู่กับตัวเรา สุดท้ายนี้ผู้จัดทำก็ขอให้เพื่อนๆน้องๆประสบผลสำเร็จในการสอบทุกๆคนเลยนะครับ สาธุๆ ^.^





 

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Drift King

   สวัสดีครับบบ กลับมาพบกันอีกแล้วนะครับ หวังว่าคุณผู้อ่านที่น่ารักทุกๆท่านจะยังคงไม่เบื่อผมไปซะก่อนนะครับ ฮ่าๆๆ:P วันนี้ผมมีเรื่องราวน่ารู้เรื่องราวที่น่าสนใจดีๆมาฝาก คุณผู้อ่านเคยได้ยินคำว่า "Drift" กันมั้ยครับ? หลายๆท่านอาจจะเคยได้ยินเคยเห็นกันมาบ้างตามภาพยนตร์หรือจากแหล่งหรือสื่ออื่นๆแต่อีกหลายๆท่านก็อาจจะยังสงสัย งงๆกันอยู่ เดี๋ยวมาไขข้อสงสัยไปพร้อมๆกันเลยนะครับ 

   การดริฟท์ (Drift) ก็คือการขับขี่รถยนต์ในทางโค้งโดยทำการอันเดอร์สเตียร์ (under steer) เข้าหาโค้งและผ่านโค้งนั้นไปสำหรับการนี้โดยเฉพาะ การดริฟท์อาจใช้เพื่อความสนุกซึ่งมีจุดประสงค์ที่ผสมผสานระหว่างความสนุกกับการเสริมทักษะในการควบคุมรถหรืออาจะใช้ในการแข่งขันก็ได้ 


ดริฟท์ลงภูเขา สุดๆไปเลยยย

ต้นกำเนิดของการดริฟท์(Drift)
   
ชายคนนี้มีนามว่า Keiichi Tsuchiya ผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น Drift King
(ขอขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ http://www.kingofeurope.net/koa/en/koa-news/item/302-k1.html)

   การดริฟท์มีต้นกำเนิดมาจากกลุ่มนักแข่งตามถนนบนภูเขาแถบชนบทของประเทศญี่ปุ่น เป็นการแข่งบนถนนภูเขา (เรียกว่าโทเกะ) เคอิชิ ทสึชิยะ (Keiichi Tsuchiya) ที่ได้ชื่อดริฟท์คิงเมื่อตอนแข่งรถอยู่และอยู่ในอันดับรั้งท้าย เขาตัดสินใจที่จะเหวี่ยงรถผ่านโค้ง ทำให้เหล่าฝูงชนรู้สึกตกตะลึงและรู้สึกประหลาดใจไปตามๆกัน ภายหลัง Tsuchiyaเรียกมันว่า "การดริฟท์" ในขณะที่นี่อาจไม่ใช่ต้นกำเนิดของมัน แต่มันก็เป็นที่มาของชื่อและการแสดงให้คนอื่นเห็นเป็นครั้งแรก ในปีค.ศ.1977 เคอิชิเริ่มต้นอาชีพด้วยการขับรถหลายคัน ในการแข่งระดับมือสมัครเล่นรายการต่างๆ ต่อมาเคอิชิได้มีโอกาสได้ขับรถโตโยต้า เออี86 สปรินเตอร์ ทรูเอโน่ ซึ่งมีสปอนเซอร์หลักคือ ADVAN ในหลายๆการแข่ง ในหลายๆการแข่งในขณะที่เค้าเข้าโค้งลงเนิน เขาจะดริฟท์รถของเขาทำให้ได้ความเร็วขณะเข้าโค้งมากกว่าคู่แข่งคนอื่นๆ เทคนิคนี้ทำให้เขาได้รับการขนานนามว่าเป็น Drift King ไม่ใช่เพราะอย่างที่หลายคนเข้าใจว่าเขาเป็นคนแรกที่ดริฟท์


toyota ae86 trueno รถที่ทซึชิยะใช้ในการดริฟท์

(ขอขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ http://www.oocities.org/yenga/keiichi.htm)


(ขอขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ http://juiceboxforyou.com/2012/01/feature-iconic-attire/)



ประวัติ Drift King


   เคอิชิ ซึชิย่า เริ่มต้นการแข่งในวัยหนุ่มเหมือนนักแข่งที่ยิ่งใหญ่ส่วนมาก เมื่อตอนที่เขาหัดขับรถเขาก็เริ่มต้นทดลองดึงเบรคมือเพื่อให้ท้ายปัดและใช้พวงมาลัยแก้อาการ ซึ่งทำให้เขารู้สึกสนุกและนั่นเป็นการสอนพื้นฐานการควบคุมรถไปในตัวด้วย เค้าไม่ได้ไปเรียนที่โรงเรียนสอนขับรถแข่งหรือมีครอบครัวที่ร่ำรวยเหมือนนักแข่งผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นซึ่งสิ่งนั้นสามารถเพิ่มพูนทักษะการขับเขาได้ แต่เขามีแค่แรงผลักดันที่อยากจะขับรถเป็นพื้นฐานเท่านั้น เขาเริ่มที่จะสร้างความรู้สึกที่ว่าทำอย่างไรถึงจะผ่านโค้งด้วยความเร็วที่สูงที่สุดโดยการขับบนภูเขาแถวบ้าน ซึ่งนี่ไม่ใช่ทางที่ปลอดภัยหรือเท่ห์ในการเรียนรู้การแข่งรถ อย่างไรก็ตามเขาก็เรียนรู้มากขึ้นจากการวิ่งแข่งบนภูเขา(Touge) เขาประสบอุบัติเหตุบ้างเช่นขับ รถสกายไลน์รุ่น KPGC10 ตกเขาหรือขับชนข้างกำแพง
และการขับบนหิมะก็ได้เพิ่มพูนทักษะการควบคุมรถมากขึ้น ยิ่งเขาขับบนสภาพพื้นผิวที่ต่างกันมากเท่าไหร่เขาก็เริ่มที่จะดิรฟท์ผ่านโค้งได้อย่างสบายขึ้น เขาเริ่มดริฟท์ไม่ใช่เพราะเขาต้องการขับผ่านโค้งได้เร็วกว่าใคร แต่เพราะว่าเขารู้สึกตื่นเต้นกับมันมากที่สุด
การดริฟท์ผ่านโค้งไม่ใช่วิธีที่จะขับผ่านโค้งได้เร็วที่สุดในทุกๆโค้ง และนี่เป็นที่ๆ ซึชิย่าถูกสวมมงกุฏในฐานะ Dori Kin หรือ Drift King ในการจัดแข่งขันการดริฟท์ของนิตยสารออพชั่น
ซึ่งตัดสินการแข่งขันโดยดูที่สไตล์และเทคนิคที่ใช้ในการดริฟท์ และภายหลังก็ได้ตัดสินกันที่ไลน์ดริฟท์และมีการแข่งที่โค้งมากขึ้นซึ่งความยากจะมีมากกว่า ย้อนกลับไปในปี 1977 เคอิชิ เริ่มการอาชีพการขับรถแข่งของเขากับรถแข่งมากมายในการแข่งขันรุ่นสมัครเล่นต่างๆ การแข่งโดยใช้รถที่มีกำลังเครื่องยนต์น้อยนั้นยากแต่ก็เป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ ต่อมา เคอิชิได้มาขับรถ โตโยต้า AE86 รุ่นปี1984 ซึ่งสนับสนุนโดยบริษัทผลิตยาง ADVAN 
ระหว่างการขับแข่งลงเขามากมาย เคอิชิ ดริฟท์ผ่านโค้งและใช้ความเร็วที่ดีกว่าคู่แข่งคนอื่นๆ ซึ่งเทคนิคที่เค้าใช้ทำให้เค้าเป็นดริฟท์คิง แต่นั่นก็ไม่เท่ากับที่เค้าได้รับการยกย่องว่าเป็นคนแรกที่ดริฟท์ การพัฒนาของเขาเพิ่มพูนขึ้นพอๆกับชื่อเสียงของเขา ในขณะนั้นเขาเป็นนักขับรถแข่งอาชีพแล้วและเค้าก็ยังไปแข่งนอกกฎหมายตามภูเขาซึ่งทำให้ชื่อเสียงเค้าโด่งดังมากขึ้น หลังจากที่มีการออกวีดีโอโดยมีการปรากฏของ เคอิชิ และการที่เขายังไปแข่งนอกกฎหมายที่ภูเขาทำให้ใบขับขี่ของเขาถูกยึด สำหรับนักขับรถแข่งมืออาชีพนี่เป็นสิ่งที่น่าอายมาก แต่สำหรับเขากลับกลายว่าเป็นประโยชน์ ทำให้แฟนๆของเขาและชื่อเสียงของเขาขยายมากขึ้น คุณอาจเรียกเขาได้ว่ากบฏ หรือว่าเขาเป็นเพียงคนที่มาจากที่ๆไม่มีใครรู้มาเพื่อความสำเร็จโดยไม่มีการวางแผนล่วงหน้าและไม่มีภูมิหลังของการแข่งรถมาก่อน เขายังคงผูกพันกับรถเก่าๆที่เขาใช้ชีวิตการแข่งขันโดยเติบโตมากับมันดริฟท์ และ พบพานชัยชนะกับมัน นั่นคือโตโยต้า AE86 ทางโตโยต้าเองก็รู้สึกว่าเค้าเป็นบุคคลที่เป็นตัวแทนรถนี้ และมอบ AE86 TRD ให้แก่เขา

เทคนิคในการดริฟท์ (Drift)


องค์ประกอบที่ดีของรถ
ดริฟท์ (Drift)เบื้องต้น

เกียร์

เกียร์สแตนดาร์ดของรถขับเคลื่อนล้อหลังอย่างเอสอาร์20ดีอีที นักแข่งหลายคนมักมองข้ามเพราะขนาดที่เล็ก เฟืองข้างในจึงเล็ก ไม่สามารถทนต่อความจัดจ้านของเครื่องยนต์ขณะดริฟท์ หลักสูตรประหยัดมักนำของอาร์บี25ดีอีที มาใส่ เพราะขนาดเฟืองและเสื้อเกียร์ที่ใหญ่จึงทนทานมาก ส่วนรถดริฟท์ที่ใช้เครื่องยนต์เจแซดและอาร์บี เป็นเกียร์ที่มีความทนทานสูงและขนาดใหญ่ หลักสูตรประหยัดจึงใช้เครื่องยนต์ 2เจแซด แล้วใช้เกียร์1เจแซด เพื่อเพิ่มความจัดจ้าน ส่วนอาร์บี26 ก็ใช้เกียร์อาร์บี25

ส่วนใครที่งบเหลือก็มักใช้เกียร์ซิ่ง เช่น ด็อกบ็อกซ์ที่การเข้าเกียร์เป็นเอช-แพทเทิร์น เหมือนสแตนดาร์ด แต่เหยียบคลัตช์เพียงเกียร์ 1 ที่เหลือดันเข้าได้ทันที หากเทพสุดต้องซีเควนเชียลจากสำนักแต่งต่างๆ ที่ราคานั้นถอยอีโคคาร์ขับเล่นได้สบาย แต่หลายคนลงทุนซื้อเพราะเหยียบคลัตช์เพียงเกียร์ 1 และการเปลี่ยนเกียร์แบบดันขึ้น-ลง ช่วยให้การเข้าโค้งสมูท รวดเร็ว และมีความทนทานสูง

คลัตช์

อาจเกิดข้อสงสัยเมื่อชมแข่งดริฟท์ในสนามว่าเสียงกรุ๊งกริ๊งในรถเสียงอะไร เกียร์พังหรือเครื่องยนต์เกิดปัญหาหรือไม่ ที่จริงแล้วเป็นเสียงคลัตช์ซิ่ง ที่เปลี่ยนเพื่อแก้ปัญหาคลัตช์ลื่น นิยมใช้ 4 แบบ คือ 1 แผ่น ชุดคลัตช์แบบนี้คล้ายกับของสแตนดาร์ด มีผ้าคลัตช์แผ่นเดียว โดยมากโมดิฟายหวีคลัตช์ให้มีแรงกดเพิ่มขึ้น ผ้าคลัตช์จะเป็นแบบทองแดง มีลักษณะเป็นก้อน เช่น 3 ก้อน หรือ 5 ก้อน รองรับพลังได้ไม่เกิน 350 แรงม้า ส่วนแบบ 2 แผ่น นิยมใช้ในการดริฟท์ ใช้ผ้าคลัตช์ 2 แผ่น จานกดคลัตช์ 2 ตัว ลดอาการลื่นของคลัตช์ได้มากขึ้น แต่มีน้ำหนักมากจึงต้องใช้ฟลายวีลน้ำหนักเบา แบบ 3 แผ่น สามารถรองรับพลังได้ถึง 800 แรงม้า แบบสุดท้าย 4 แผ่น ในไทยรถดริฟท์ไม่ใช้กัน เพราะไม่มีคันใดมีพลังเครื่องยนต์สูงจนจำเป็นต้องใช้ เพราะรองรับพลังได้ตั้งแต่ 1,000 - 1,300 แรงม้า



เฟืองท้าย

อุปกรณ์ส่งต่อแรงหมุนจากเพลาขับไปดุมล้อ สามารถเปลี่ยนอัตราทดได้หลายระดับเหมือนเกียร์ ในชุดเฟืองท้าย ประกอบด้วยชิ้นส่วนต่างๆ ทำหน้าที่ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อรถได้แก่ เฟืองเดือยหมูทำหน้าที่ถ่ายทอดกำลังเครื่องยนต์ไปสู่เฟืองบายศรี โดยทำหน้าที่เปลี่ยนทิศทางการถ่ายทอดกำลังเพื่อขับเพลาข้าง ส่วนเฟืองดอกจอกแบ่งกำลังที่จะส่งไปเพลาข้างซ้ายและขวา และเฟืองขับเพลาข้างทำหน้าที่ขับเพลาข้างเพื่อหมุนล้อ ส่วนอัตราทดก็ขึ้นอยู่กับแต่ละสนามแข่ง เพราะไลน์ถูกกำหนดต่างกัน เช่น บางสนามอาจต้องใช้ 4.3 บางสนามอาจใช้ 4.1 ฯลฯ ขึ้นอยู่กับการออกแบบไลน์ของผู้จัดจึงควรมีไว้หลายอัตราทด

ลิมิเต็ดสลิป

ทำหน้าที่ส่งกำลังขับสู่ล้อตรงข้ามกับล้อที่หมุนฟรี ในรถดริฟท์ล้วนเป็นลิมิเต็ด 100 % คือ ล้อซ้ายและขวาหมุนเท่ากันตลอดเวลา ข้อดี คือ ดริฟท์ง่าย ล้อไม่มีการสูญเสียกำลัง ล้อฟรีทั้ง 2 ล้อ แต่ข้อเสียคือ ใช้ในชีวิตประจำวันลำบาก เลี้ยวยาก เสียงดัง และยางสึก โดยไม่จำเป็น



เบรก

รถดริฟท์กับเบรกหน้าไม่จำเป็นต้องเทพมากนัก แค่ 4 พ็อต ก็พอ เพราะเบรกหน้าใช้เพียงควบคุมไม่ให้ชนหากหลุดแทร็ค หรือเพียงให้จอดนิ่งสนิท ความสำคัญอยู่ที่เบรกหลัง งบประมาณต่ำสุด คือ ใช้คาลิเปอร์ 2 พ็อต 2 ตัว แล้วแยกการทำงานเป็นเบรกมือสำหรับดริฟท์ 1 ตัว มักเรียกว่าเบรกมือไฮดรอลิก สามารถปรับแต่งได้สะดวกกว่าระบบสายสลิง โดยแยกทางเดินน้ำมันเบรกเป็น 2 ชุด สำหรับเบรกเท้าและเบรกมือ พร้อมติดตั้งหม้อลมเบรกเพิ่มสำหรับเบรกมือโดยเฉพาะ ซึ่งหลายอู่สามารถทำได้ด้วยเงินเพียงไม่กี่หมื่นบาท หากใครงบมากมักใช้เบรกไฮดรอลิกของสำนักแต่งต่างๆ แบบคาลิเปอร์เดียว 6 พ็อต แยกการทำงานสำหรับเบรกมือ ชุดนี้ราคาค่อนข้างสูง แต่ประสิทธิภาพดีกว่าการดัดแปลงแบบ 2 ตัว

มาดูทักษะของ Drift King กัน ^^


Did you know?


คุณรู้หรือไม่ว่าเคอิชิ ทซึชิยะได้รับหน้าที่เป็นนักแสดงแทนในภาพยนตร์ดังเรื่อง
Fast & Furious Tokyo Drift ด้วย *.*


(ฉากหนึ่งในภาพยนตร์ดังเรื่อง
Fast & Furious Tokyo Drift)
*การดริฟท์เป็นทักษะในการขับรถรูปแบบหนึ่งที่มีความเสี่ยงสูง ท่านผู้อ่านควรปฎิบัติตามกฎจราจรในชีวิตจริงและคำนึงถึงความปลอดภัยต่อตนเองและผู้อื่นอย่างเคร่งครัด ถ้าจะทำการดริฟท์ก็ควรจะทำในสนามแข่งรถหรืออยู่ในความดูแลของผู้เชี่ยวชาญ*


อ้างอิง
http://www.siamsport.co.th/
http://www.online-station.net/