วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ (Java)

   สวัสดีครับชาวบล๊อคทุกๆท่าน กลับมาพบกันอีกแล้วนะครับ หลายๆท่านอาจจะเคยได้ยินคำว่า "Java" กันใช่ไหมครับ แต่ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร? มีประโยชน์อย่างไร? เดี๋ยววันนี้เรามาคลายข้อสงสัยไปพร้อมๆกันเลยนะครับ:P

Java คืออะไรหรอ?




Java นั้นก็คือโปรแกรมภาษาที่ถูกพัฒนามาเพื่อรองรับการออกแบบซอฟแวร์ที่มีการเชื่อมโยง Internet อีกทั้งยังเป็นโปรแกรมที่สนับสนุนแนวความคิดของการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ หรือที่รู้จักกันดีที่เรียกว่า OOP (Object-Oriented Programming) โดยมีความสามารถเฉพาะตัวต่างจากโปรแกรมภาษาชั้นสูง อื่น ๆ เช่น หรือ C++ ในเรื่องของการทำงานข้ามระบบปฏิบัติการ หรือ Platform ได้โดยไม่ต้องมีการ compile ใหม่
โดยโปรแกรมที่ถูกพัฒนาด้วยภาษา Java นั้นจะแบ่งออกเป็น2ประเภทใหญ่ๆคือ
 1.    Java Application – โปรแกรม Java ทั่ว ๆ ไป ที่ทำงานได้ด้วยตัวของมันเอง (Stand Alone Application)

2.     Java Applet – โปรแกรม Java ที่ถูกนำไปใช้บน Internet เท่านั้น

มาทำความเข้าใจประวัติความเป็นมาของ Java กันนน

ขอขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซต์(http://www.pantips.com/webthaidd/java/webthaidd_article_656_.html)

      หลายๆคนอาจจะสงสัยเกิดคำคามขึ้นในใจกันนะครับว่าชายในรูปคนดังกล่าวเป็นใคร? ชายคนดังกล่าวก็คือผู้คิดค้นภาษาJava เขามีนามว่า James Gosling เขาเป็นผู้คิดค้นต้นแบบภาษาJavaขึ้นพร้อมๆกันกับคณะจากบริษัท Sun Microsystems

ในปี 1991 โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างผลิตภัณฑ์อิเล็คทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคที่ง่ายต่อการใช้ง่าย มีค่าใช้จ่ายต่ำ ไม่มีข้อผิดพลาด และสามารถใช้กับเครื่องใด ๆ ก็ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นข้อดีของจาวาที่เหนื่อกว่าภาษาอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่โปรแกรมซึ่งเขียนขึ้นด้วยจาวาสามารถนำไปใช้กับเครื่องต่าง ๆ โดยไม่ต้องทำการคอมไพล์โปรแกรมใหม่ ทำให้ไม่จำกัดอยู่กับเครื่องหรือโอเอสตัวใดตัวหนึ่ง แม้ว่าการใช้งานจาวาในช่วงแรกจะจำกัดอยู่กับ World Wide Web (WWW) และ Internet แต่ในปัจจุบันได้มีการนำจาวาไปประยุกต์ใช้กับงานด้านซอฟต์แวร์ต่าง ๆ อย่างมากมาย ตั้งแต่ซอฟต์แวร์อรรถประโยชน์ (Utility) ไปจนกระทั่งซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ เช่น โปรแกรมชุดจากบริษัท Corel ซึ่งประกอบด้วยโปรแกรมหลัก ๆ คือ โปรแกรมเวิร์โปรเซสซิ่ง สเปรดซีต พรีเซนเตชั่น ที่เขียนขึ้นด้วยจาวาทั้งหมด

จาวายังสามารถนำไปใช้เป็นภาษาสำหรับอุปกรณ์แบบฝังต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์ และอุปกรณ์ขนาดมือถือแบบต่าง ๆ เป็นต้น รวมทั้งยังได้รับความนิยมนำไปใช้กับอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเข้าสู่อินเตอร์เน็ตโดยไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ นอกจากนี้แล้ว จาวายังเป็นภาษาที่ถูกใช้งานในคอมพิวเตอร์แบบเอ็นซี (NC) ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์แบบใหม่ล่าสุด ที่เน้นการทำงานเป็นเครือข่ายว่า แอพเพลต (applet) ที่ต้องการใช้งานขณะนั้นมาจากเครื่องแม่ ทำให้การติดต่อสื่อสารสารผ่านเครือข่ายใช้ช่องทางการสื่อสารน้อยกว่าการดึงมาทั้งโปรแกรมเป็นอย่างมาก

การพัฒนาในช่วงเวลาต่อๆมา
่ปี 1991 ได้ทำการวิจัยเพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใช้ควบคุมอุปกรณ์เล็กทรอนิคขนาดเล็ก ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่สำคัญคือ ภาษาโอ๊ค (Oak)
ปี 1993 ภาษาโอ๊คได้ถูกปรับปรุงใหม่เพื่อใช้ในการสร้างเว็บแอพพลิเคชั่น (web application) พร้อมกับสร้างเว็บเบราว์เซอร์ (web browser) ที่รองรับ ชื่อว่าเว็บรันเนอร์ (WebRunner)
ปี 1995
- บริษัทซันได้เปิดตัวภาษาจาวา (Java) (ภาษาโอ๊คเดิม) พร้อมกับเว็บเบราว์เซอร์ ที่รองรับภาษานี้ ชื่อว่า ฮอตจาวา (HotJava) (WebRunner เดิม)


(HotJava เว็บเบราเซอร์แรกที่รองรับภาษาJava ชื่อเดิมคือ WebRunner)

- ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทใหญ่ทั้งเน็ตสเคบ (Netscape), ไมโครซอฟต์ (Microsoft), และ ไอบีเอ็ม (IBM)
- บริษัทซันได้เริ่มแจกจ่าย Java development Kit (JDK) ซึ่งเป็นชุดพัฒนาโปรแกรมภาษาจาวาในอินเตอร์เน็ต

สรุปข้อดีของ Java

1.โปร แกรมจาวาที่เขียนขึ้นสามารถทำงานได้หลาย platform โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขหรือ compile ใหม่ ทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายและเวลาที่ต้องเสียไปในการ port หรือทำให้โปรแกรมใช้งานได้หลาย platform
2.ภา ษาจาวาเป็นภาษาเชิงวัตถุ ซึ่งเหมาะสำหรับพัฒนาระบบที่มีความซับซ้อน การพัฒนาโปรแกรมแบบวัตถุจะช่วยให้เราสามารถใช้คำหรือชื่อ ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในระบบงานนั้นมาใช้ในการออกแบบโปรแกรมได้ ทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
3.ภาษาจาวามีความซับซ้อนน้อยกว่าภาษา C++ ทำให้ใช้งานได้ง่ายกว่าและลดความผิดพลาดได้มากขึ้น
4.ภา ษาจาวามีการตรวจสอบข้อผิดพลาดทั้งตอน compile time และ runtime ทำให้ลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในโปรแกรม และช่วยให้ debug โปรแกรมได้ง่าย
5.ภาษาจาวาถูกออก แบบมาให้มีความปลอดภัยสูงตั้งแต่แรก ทำให้โปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยจาวามีความปลอดภัยมากกว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภา ษาอื่น
มี IDE, application server, และ library ต่าง ๆ มากมายสำหรับจาวาที่เราสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทำให้เราสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับการซื้อ tool และ s/w ต่าง ๆ

สรุปข้อเสียของ Java

1.ทำงาน ได้ช้ากว่า native code (โปรแกรมที่ compile ให้อยู่ในรูปของภาษาเครื่อง) หรือโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาอื่น อย่างเช่น C หรือ C++ ทั้งนี้ก็เพราะว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาจาวาจะถูกแปลงเป็นภาษากลางก่อน แล้วเมื่อโปรแกรมทำงานคำสั่งของภาษากลางนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นภาษาเครื่องอีกที หนึ่ง ทีล่ะคำสั่ง (หรือกลุ่มของคำสั่ง) ณ runtime ทำให้ทำงานช้ากว่า native code ซึ่งอยู่ในรูปของภาษาเครื่องแล้วตั้งแต่ compile โปรแกรมที่ต้องการความเร็วในการทำงานจึงไม่นิยมเขียนด้วยจาวา
2.tool ที่มีในการใช้พัฒนาโปรแกรมจาวามักไม่ค่อยเก่ง ทำให้หลายอย่างโปรแกรมเมอร์จะต้องเป็นคนทำเอง ทำให้ต้องเสียเวลาทำงานในส่วนที่ tool ทำไม่ได้ ถ้าเราดู tool ของ MS จะใช้งานได้ง่ายกว่า และพัฒนาได้เร็วกว่า (แต่เราต้องซื้อ tool ของ MS และก็ต้องรันบน platform ของ MS)
การเขียนโปรแกรมภาษาJavaเบื้องต้น
ขอขอบคุณคลิปวิดีโอดีๆจากเว็บไซต์(https://www.youtube.com/watch?v=3H0XCnomppc)

อ้างอิง
http://nwannika.tripod.com/java/Chapter1.htm
http://www.thaiblogonline.com/sweets.blog?PostID=13208
https://www.youtube.com/watch?v=3H0XCnomppc


วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Social Network กับนักเรียนและสังคมไทย

Social Network คืออะไร?

http://www.network-service.it/blog/wp-content/uploads/2013/12/social-network-hotel.jpg
(ขอขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ http://www.network-service.it/blog/wp-content/uploads/2013/12/social-network-hotel.jpg )

Social Network ก็คือสังคมออนไลน์ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเขียนสร้างและอธิบายถึงตัวตนความสนใจและกิจกรรมที่ได้ทำ มีความเชื่อมโยงกับความสนใจในกิจกรรมของผู้อื่นนั่นเอง

ทำไมถึงมี Social Network กันหละ?

   ก็เพราะอันเนื่องมาจากสังคมที่เจอกันน้อยลงทุกที โดยเฉพาะในประเทศที่อัตราการใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ในระดับที่สูง ทำให้มนุษย์ต้องหาทางคิดค้นวิธีที่คนเราจะสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์หรือสร้างความสันพันธ์กันทางสังคมผ่านอินเทอร์เน็ต ปัจจุบันมนุษย์ถูกบังคับให้ทำกิจกรรมหลายๆอย่างผ่านหน้าจออุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ต่างๆมากขึ้นก็เพราะอันเนื่องมาจากมนุษย์ในยุคปัจจุบันเจอกันน้อยลง มนุษย์ก็เลยสร้างแหล่งที่ให้ผู้คนพบปะทางสังคมผ่านทางโลกอินเทอร์เน็ตเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ที่ว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมและนี่คือสิ่งที่มองว่าเป็นที่มาของบรรดา Social Network System (SNS) นั่นเอง

องค์ประกอบของ Social Network

สรุปออกมาได้ดังนี้


  
 
Social Network นั้นแบ่งประเภทได้เป็นดังนี้

 


ข้อดีของ Social Network

1.สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ในสิ่งที่สนใจร่วมกันได้
2.เป็นคลังความรู้ขนาดย่อมเพราะเราสามารถเสนอและแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความรู้ หรือตั้งคำถามในเรื่องต่างๆเพื่อให้บุคคลอื่นที่สนใจหรือมีคำตอบได้ช่วยกันตอบ
3.ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสาร สะดวก รวดเร็ว
4.ใช้เป็นสื่อในการนำเสนอผลงานของตัวเอง
5.ใช้เป็นสื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์หรือบริการลูกค้า
6.ช่วยสร้างผลงานและรายได้ให้แก่ผู้ใช้งาน เกิดการจ้างงานแบบใหม่ๆขึ้น

ข้อเสียของ Social Network
1.เว็บไซต์บางเว็บไซต์อาจจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากจนเกินไปหากผู้ใช้บริการไม่ระมัดระวังในการกรอกข้อมูลก็อาจถูกผู้ไม่หวังดีนำมาใช้ในทางเสียหายได้
2.Social Network เป็นสังคมที่กว้าง หากผู้ใช้บริการรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือขาดวิจารณญาณอาจโดนหลอกลวงได้
3.เป็นช่องทางในการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ขโมยผลงานหรือถูกแอบอ้างเพราะSocial Network เป็นสื่อในการนำเสนอผลงานของเราให้บุคคลอื่นได้ดูและแสดงความคิดเห็น
4.ข้อมูลที่ต้องกรอกเพื่อสมัครสมาชิกและแสดงบนเว็บไซต์ยากแก่การตรวจสอบได้ว่าจริงหรือไม่ 

ตัวอย่างเว็บไซต์ยอดนิยมที่ให้บริการเกี่ยวกับ Social Network

1. 
https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/a/aa/Logo_Google_2013_Official.svg/250px-Logo_Google_2013_Official.svg.png

https://www.google.co.th/

2.

https://www.facebook.com/images/fb_icon_325x325.png


https://www.facebook.com/ 

3.
 https://developers.google.com/youtube/images/YouTube-logo-full_color.png
https://www.youtube.com/ 

4.
https://pbs.twimg.com/profile_images/571076061169868800/2dDdk-Uh.png
 https://twitter.com/


5.

https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/b/b3/Wikipedia-logo-v2-en.svg/2000px-Wikipedia-logo-v2-en.svg.png

 https://th.wikipedia.org/

เป็นต้น


เผยพฤติกรรมคนไทยติด Social Network จนขาดไม่ได้

โดยคนไทยที่ชอบออนไลน์ ส่วนใหญ่จะใช้งาน Social Network ตั้งแต่ตื่นนอน เข้าห้องน้ำ ระหว่างเดินทาง เข้าไปทำงาน   ไม่ว่าจะตอนตื่นนอน, เข้าห้องน้ำ, เดินทาง ขณะทำงาน  หรือแม้กระทั่งก่อนนอน ก็ยังเช็ค Social Network อยู่ดี

  
http://www.it24hrs.com/wp-content/uploads/2014/06/day-in-a-life-thai-social-network-00.jpg
 
  (ขอขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ http://www.it24hrs.com/wp-content/uploads/2014/06/day-in-a-life-thai-social-network-00.jpg)

Zocial inc. บริษัทด้านการวิเคราห์ข้อมูลเกี่ยวกับ Social Network  ได้ทำการสำรวจคนไทยกว่า 655 คน เกี่ยวกับการใช้ Social Media ในชีวิตประจำวันตั้งแต่ตื่นนอน จนจบวัน ได้ข้อมูลที่สำคัญและน่าสนใจดังนี้  คนไทยใช้ Facebook มากถึง 99%  ,  ใช้ LINE 84%  ,ใช้ Instagram 56% ,   ใช้ Google+ 41%  และใช้ Twitter 30%

day-in-a-life-thai-social-network-01

 (ขอขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ http://www.it24hrs.com/wp-content/uploads/2014/06/day-in-a-life-thai-social-network-01.jpg)

   จะเห็นได้ว่า Social Network นั้นต่างก็มีข้อเสียในตัวมันเอง หากเราใช้อย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร รู้จักแบ่งเวลาในการใช้ไม่ติดหรือหมกมุ่นจนเกินไป เพียงเท่านี้เราก็จะสมารถใช้บริการ Social Network ได้อย่างมีความสุขและถูกต้องเหมาะสม ขอบคุณครับ:P