วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

The Class Of 92


http://d28hgpri8am2if.cloudfront.net/tagged_assets/cvr9781471102639/9781471102639_hr.jpg



" คุณไม่มีวันพาทีมคว้าแชมป์อะไรได้ ด้วยฝีเท้าของเด็ก ๆ พวกนี้ "

- อลัน แฮนเซ่น นักวิจารณ์ที่เคยเป็นนักเตะลิเวอร์พูล

วิจารณ์เฟอร์กี้เอาไว้ หลังส่งเด็กๆ Class of 92 ลงสนามนัดแรก

ในฤดูกาล 1995-96 และพ่ายแอสตัน วิลล่ายับเยิน 3-1

หลังจากนั้นเวลาผ่านไป นักเตะ Class of 92 ทั้ง 6 คนเติบใหญ่

กวาดทุกแชมป์ให้ยูไนเต็ด รวมไปถึงแชมป์ลีคในฤดูกาลนั้นด้วย

และแน่นอนจากประโยคนั้นประโยคเดียวของอลัน แฮนแซ่น

สร้างความอับอายให้อดีตนักเตะลิเวอร์พูลจวบจนมาถึงทุกวันนี้


 Class Of 92 เป็นคำเรียกขานชื่อกลุ่มนักฟุตบอลในยุคหนึ่งของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งนักฟุตบอลกลุ่มนี้ได้สร้างปรากฏการณ์ที่สำคัญยิ่งต่อทีมฟุตบอลยักษ์ใหญ่ แห่งอังกฤษ ด้วยการคว้าโทรฟี่ระดับประเทศ 26 ถ้วย รวมทั้งติดทีมชาติรวมกัน 468 เกม และ ลงเล่นในแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 3,268 เกม
ก่อนอื่น นี่เป็นหนังสารคดีที่ได้รับความสนใจอย่างมากในหมู่แฟนบอล โดยเฉพาะแฟนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพราะ Class Of 92 อาจเป็นที่สุดแห่งยุคแล้วจริงๆในยุคหลังๆ พวกเขาได้สร้างผลงานที่ยากลืมเลือนมากมายแก่ สโมสรและแฟนบอล

หนังเล่าเรื่องผ่านบทสัมภาษณ์ของ 6 นักเตะคนดัง เรียงจาก แกรี่ เนวิลล์, ไรอัน กิ๊กซ์, ฟิล เนวิลล์, เดวิด เบคแฮม, พอล สโคลล์ และ นิคกี้ บัตต์ ซึ่งช่วงชีวิตนักเตะอันรุ่งโรจน์ของพวกเขา ที่ไม่ได้มีแค่ฟุตบอล แต่อังกฤษในเวลานั้นยังมีทั้งปัญหาการเมือง ความโด่งดังถึงขีดสุดของดนตรี การถือกำเนิดวง Brit Rock มากมาย การประท้วงรัฐบาลของประชาชน และสิ่งต่างๆเหล่านี้มันก็ส่งผลกระทบกับชีวิตพวกเขาโดยตรง

รวมทั้ง ฟุตบอลโลก คือ 1 ในเหตุการณ์ระดับชาติของอังกฤษ ซึ่งมันผูกติดกับชีวิตพวกเขาแบบที่ว่า ตัดสินพวกเขาไปทั้งชีวิตเลยทีเดียว

สารคดีนี้ ได้มีแขกรับเชิญพิเศษคนอื่นๆด้วย อย่าง Eric Harrison, Sir Alex Ferguson, Sir Bobby Charlton, Zinedine Zidane, Eric Cantona, Danny Boyle, Tony Blair, Mani ซึ่งแต่ละคนก็มีประสบการณ์ในช่วงยุค 90's แตกต่างกันไป ฟุตบอลถูกผูกไว้กับทุกอย่าง

หนังได้เลือกซีซั่นที่สำคัญยิ่งของ Class Of 92 รวมทั้งของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมา นั่นคือ ฤดูกาล 1998-99 ปีที่พวกเขาคว้าถ้วยบิ๊กเอียร์ เป็นเจ้าฟุตบอลยุโรป ด้วยเกมการแข่งขันที่มีคนถึงขั้นสาบานว่า
"จะไม่มีวันลืมตลอดชีวิต"





หนังมีภาพเกมการแข่งขันในยุคต่างๆแทรกมาเป็นระยะ แต่แมตสำคัญที่หนังเลือกมาได้แก่

- FA CUP รอบ 4 ทีม Manchester United vs Liverpool
- FA CUP รองรองชนะเลิศ Manchester United vs Arsenal
- PREMIERE LEAGUE เกมสุดท้ายในปี 1999 Manchester United vs Tottenham Hotspurs
- FA CUP รอบชิงชนะเลิศ Manchester United vs Newcastle United
- UEFA CHAMPION LEAGUE รอบชิงชนะเลิศ Manchester United vs Bayern Munich


บทสัมภาษณ์ของนักเตะ ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นที่ความเป็นมา ว่าพวกเขาเข้ามาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้อย่างไร เหตุการณ์สำคัญอะไรที่พวกเขาจะไม่มีวันลืม ซึ่งในช่วงสัมภาษณ์นักเตะแต่ละคนนั้น จะประกอบด้วย คอมเมนท์จากเพื่อนอีก 5 คนด้วย
สิ่งที่นักเตะทุกคนล้วนพูดเหมือนกันว่า พวกเขาต่างเป็น "ครอบครัว" ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เหตุการณ์หนึ่งที่สำคัญมาก เกิดในช่วงการสัมภาษณ์ของเดวิด เบคแฮม คือ ตอนที่เบคแฮม ได้รับใบแดงในฟุตบอลโลกตอนปี 1998 ซึ่งเหตุการณ์นี้ ส่งส่งผลกระทบมากทั้งในระดับนักเตะ ระดับสโมสร รวมถึงระดับชาติ

เดวิด เบคแฮมถูกโจมตีจากสื่อในอังกฤษอย่างรุนแรง ซึ่งพาดหัวของ Mirror แทบลอยด์เล่มดังดูจะเป็นพาดหัวที่โด่งดังที่สุด

"10 Heroic Lions, One Stupid Boy"




เบคแฮมเล่าว่า "มันเลวร้าย" จริงๆสถานการณ์ในตอนนั้น ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเขาถูกโจมตี ทั้งเพื่อน และครอบครัว ที่เบคแฮมรู้สึกแย่คือ ครอบครัวเขาถูกผู้คนโจมตีเรื่องนี้ตลอดเวลาในตอนนั้น ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกแย่จริงๆ

"เมื่อผมกลับมาที่โอลด์ แทรฟอร์ด ที่นั่นมันเหมือนถูกครอบไว้ ไม่มีใครเข้าไปได้ และไม่มีใครออกมาได้ เรื่องเลวร้ายไม่ได้ถูกพูดถึงที่นั่น บอสบอกผมว่า ให้ผมไม่ต้องคิดมาก ไปพักผ่อนซะ เมื่อนายกลับมาทุกคนจะอยู่เคียงข้างนายแบบเดิม และสิ่งที่ผมประทับใจมาก คือ เขาปกป้องผมเสมอ"

เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน ปฏิเสธการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเดวิด เบคแฮมที่เป็นประเด็นร้อนแรงในขณะนั้น โดยบอกกับนักข่าวในห้องแถลงข่าวว่า "เราจะพูดกันแค่เรื่องของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด"

(ลูกยิงประตูครึ่งสนาม เป็นลูกแจ้งเกิดของเดวิด เบคแฮมที่ผู้คนยังจดจำมาจนทุกวันนี้)
สารคดีเริ่มด้วยภาพฟุตเทจของนัดชิง ยูฟ่าแชมเปียนลีกส์ปี 1999 ตอนจบสารคดีเลยจบด้วยผลการแข่งขัน เราต่างรู้ดีว่า ผลสกอร์ในวันนั้นเป็นเช่นไร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โกงความตาย เอาชนะ บาร์เยิร์น มิวนิคได้ที่สกอร์ 2-1 โดย 2 ลูกนั้นมาจากช่วงทดเวลา 3 นาที

ปีนั้น Class Of 92 อยู่ในชุดที่พาทัมคว้า 3 แชมป์ให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด FA CUP,PREMIERE LEAGUE และ UEFA CHAMPION LEAGUE เป็น 3 แชมป์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ยูไนเต็ดมีในรอบหลาย 10 ปี


(ประตูที่ 2 จาก โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมาตอนท้ายเกม ทำให้ยูไนเต็ด คว้าถ้วยบิ๊กเอียร์ในที่สุด)
สิ่งที่พาเราไปถึงจุดพีคจริงๆ ที่หนังอุตสาห์เลือกมาใส่ได้อย่างถูกเวลา คือ เสียงคอมเมนเตเตอร์ในเกมการแข่งขันนั้น
ภาพฉายไปที่นักเตะยูไนเต็ด ล้อมวงเข้ามารอถ่ายรูปกับถ้วยแชมป์

"แกรี่ เนวิลล์ 24 ปี,ฟิลล์ เนวิลล์ 22 ปี, เดวิด เบคแฮม 24 ปี, นิกกี้ บัตต์ 24 ปี, กิ๊กส์ 25 ปี  ...ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับความสำเร็จอะไรก็ตามในอนาคต ผมสงสัยจริง ๆ ว่ามันจะเทียบเท่าครั้งนี้ได้หรือ"
ฤดูกาลนั้นจบลงด้วยถ้วยแชมป์ จาก นักเตะชุดที่เด็กที่สุด ที่เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสันได้โมเดลการทำทีมชุดเยาวชนจาก เซอร์ แมต บัสบี้ ในชุด "บัสบี้เบบส์" บัสบี้เบบส์ เคยเป็นความยิ่งใหญ่ของสโมสรด้วยการถล่มทีมมากมายในลีกส์ ด้วยนักเตะอายุน้อย แต่หลังจากโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่ในมิวนิค ทำให้พวกเขาต้องจากไปตลอดกาล นักเตะในยุคนั้น เหลือเพียง เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ฺลตัน เท่านั้น แม้พวกเขาจะไม่ได้ประสบความสำเร็จถึงขีดสุด แต่ก็ถูกจดจำในฐานะ นักเตะชุดที่ยอดเยี่ยมชุดหนึ่งในประวัติศาสตร์ทีม


และวันนี้บรรดานักเตะชุดใหม่ ก็ได้รับเกียรตินั้นเช่นเดียวกัน
นี่คือนักเตะจากทีมเยาวชน ชุดที่ดีที่สุดจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด..

The Class Of 92


 นักเตะในชุด The Class Of 92 ประกอบไปด้วยใครบ้าง?

 1.David Beckham


เดวิด รอเบิร์ต โจเซฟ เบคแคม[note 1] (อังกฤษ: David Robert Joseph Beckham) OBE เกิดวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1975 เป็นอดีตนักฟุตบอลชาวอังกฤษ เขาเคยเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, เพรสตันนอร์ทเอนด์, เรอัลมาดริด, เอซี มิลาน, แอลเอ กาแล็กซี่ และปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง และเคยเล่นให้กับฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ ในปี 1996 จนถึง ปี 2009 และเคยเป็นกัปตันทีมของทีมชาติอังกฤษด้วย
เบคแคมเป็นนักเตะหนึ่งในสี่คนที่เล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มากกว่า 100 นัด เขายังเป็นนักเตะที่เล่นให้ทีมชาติอังกฤษ 113 ครั้ง มากที่สุดเป็นอันดับ 2 และเป็นคนอังกฤษเพียงคนเดียวที่ทำประตูได้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 3 ครั้ง ใน ฟุตบอลโลก 1998, 2002 และ 2006 โดยยิงประตูให้ทีมชาติรวมทั้งหมด 17 ประตู
เบคแคมได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นนายทหารแห่งจักรวรรดิบริเตน (Officer of the Order of the British Empire) จากสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2[2]
ซึ่งชื่อเสียงของเบคแคมนั้นคนทั่วโลกรู้จักเขาเป็นอย่างดีทั้งรุ่นต่อรุ่นโดยผลงานของเขาสามารถสร้างชื่อเสียงไว้มากมายทั้งใน ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ และการค้าแข้งให้กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
ในวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556) เดวิด เบคแคม ประกาศที่จะเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพหลังจากที่การแข่งขันลีก 1 ของฝรั่งเศส (Ligue 1) ฤดูกาล 2012-13 ภายใต้สโมสร ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง สิ้นสุดลง   อะไรที่ทำให้เขามาถึงจุดนี้ได้? ยอดนักเตะคนนี้ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือคนที่หลงใหลในความสมบูรณ์แบบทั้งใน และนอกสนาม มันไม่สำคัญว่าเขาจะเป็นผู้นำในร้านตัดผมหรือบนแคตวอล์คหรือไม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาก็คือการพกลูกฟุตบอลถุงใหญ่ไปฝึกซ้อมเพื่อสร้าง ความแม่นยำในการเล่น เขามีปรัชญาการทำงานที่ดี และเขาก็ทำแบบนั้นมาตลอดการค้าแข้ง 11 ปีในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ที่ซึ่งเขาสร้างชื่อเสียงขึ้นมาจนโด่งดังไปทั่วโลก แม้ว่าเบ็คส์จะกลายเป็นนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ แต่เขาก็ยังคงเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน และนั่นก็ทำให้เขาเป็นที่รักของผู้คนในถนนสาย M16 เสมอมา

ความสำเร็จสูงสุด... จากความทุ่มเทในการรับใช้ชาติ เขาก็ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในอาชีพค้าแข้งด้วยการสวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติ อังกฤษ แต่หากมองกันด้วยมุมมองของทีมปีศาจแดงแล้ว มันก็ยากที่จะหาอะไรมาเทียบกับความสำเร็จในปี 1999 เบ็คแฮมซึ่งเป็นหนึ่งในนักเตะชุดคลาสส์ ออฟ 92 ช่วยให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กวาดแชมป์ลีก, เอฟเอ คัพ และแชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้ในช่วงระยะเวลา 10 วันอันน่าทึ่ง เขาได้ลงเล่นทั้ง 3 เกมสำคัญดังกล่าว นอกจากนี้เขายังเป็นคนเปิดลูกเตะมุมให้ เท็ดดี้ เชอริงแฮม และ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ซัดเข้าประตูไปในค่ำคืนอันแสนวิเศษที่บาร์เซโลน่าครั้งนั้นด้วย

เขาบอก "มันเป็นความรู้สึกที่สุดยอดเสมอเมื่อได้สวมเสื้อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะว่าไปแล้วมันก็น่าขนลุก เพราะว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือทีมของผมมาตลอด พวกเขาเป็นทีมที่ผมยังคงติดตามเชียร์ มันเป็นความฝันของผมมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ในการลงเล่นให้กับพวกเขา และคว้าชัยชนะไปพร้อมๆ กับพวกเขา"

เราบอก "เมื่อคุณลองมองย้อนกลับไป คุณจะรู้เลยว่ามันน่าทึ่งมากกับจำนวนหมวกทีมชาติ เหรียญรางวัล และระยะเวลาในการค้าแข้งของเขา เมื่อคุณพูดถึงเขา คุณจะจดจำเขาในฐานะนักฟุตบอลที่มีความตั้งใจทำงานอย่างหนัก นั่นแหละคือสิ่งที่โดดเด่นที่สุดในตัวเขา" - แกรี่ เนวิลล์

สถิติที่จะทำให้คุณทึ่ง... เบ็คส์ลงเล่นให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปทั้งหมด 394 เกม และยิงประตูได้ 85 ลูก ระหว่างการค้าแข้ง 11 ปีบนถนนสาย M16 เขาคว้าแชมป์รายการใหญ่ๆ มาครองได้ 10 รายการ นอกจากนั้นแล้วเขายังครองสถิติลงเล่นมากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ให้กับทีมชาติอังกฤษด้วยจำนวน 115 นัด เขาคือนักเตะอังกฤษเพียงคนเดียวที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ใน 4 ประเทศที่แตกต่างกัน จากการไปค้าแข้งกับเรอัล มาดริด, แอลเอ แกแล็กซี่ และปารีส แซงต์ แชร์กแม็ง

อะไรบางอย่างที่คุณอาจยังไม่ทราบ... เขาเคยไปเล่นแบบยืมตัวอยู่ 1 ฤดูกาลกับเปรสตัน นอร์ธ เอนด์ ซึ่งตอนนั้นเขาได้เล่นร่วมกับ เดวิด มอยส์ ด้วย "ทุกๆ คนในทีมชุดนั้นยังจำเขาได้ดี และสามารถไปพูดกับใครก็ได้ว่าเคยเล่นทีมเดียวกับ เดวิด เบ็คแฮม มาแล้ว" มอยส์กล่าว "ผมเองก็ไม่ต่างกัน"

คำจำกัดความ ไอค่อน

2.Ryan Giggs



ไรอัน โจเซฟ กิกส์ (อังกฤษ: Ryan Joseph Giggs) ชื่อเดิม ไรอัน โจเซฟ วิลสัน (อังกฤษ: Ryan Joseph Wilson) เป็นอดีตตำนานนักฟุตบอลชาวเวลส์เชื้อสายเซียร์ราลีโอน ของ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในตำแหน่งปีกซ้าย
วยวัยไรอัน กิ๊กส์ ย้ายจาก เวลส์ มาอยู่ที่อังกฤษ ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ในตอนนั้นเขาเล่นให้กับทีมเยาวชนของสโมสร ดีน ซึ่งเป็นที่แรกที่เขาได้เรียนรู้การเล่นฟุตบอล โค้ชของเขาในตอนนั้นคือ เดนิส สโคฟิลด์ ซึ่ง กิ๊กส์ ถูก เดนิส ส่งไปเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จนกระทั่งอายุได้ 14 ปี ในวันเกิดปีที่ 14 ของเขา อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้เดินทางไปที่บ้านของเขาใน สวินตัน เมืองแมนเชสเตอร์ เพื่อติดต่อนักฟุตบอลหนุ่มน้อยผู้นี้ไปร่วมทีม

หลังจากที่ เฟอร์กี้ ได้ฟังคำยืนยันจากหัวหน้าสเกาต์ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือ เคน บาร์เนส ว่าทางสโมสรจะไม่เซ็นสัญญากับนักเตะผู้นี้ และนั่นก็ทำให้พวกเขาสูญเสียอย่างมหาศาลกับสิ่งที่พวกเขาปล่อยให้หลุดลอยไป ซึ่งกลับเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเวลาต่อมา

ขณะที่ กิ๊กส์ อายุได้ 16 ปี เขาก็ได้เซ็นสัญญาร่วมทีมสมัครเล่น (YTS) และเริ่มเล่นเป็นอาชีพเมื่อเดือน พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1990 หลังวันเกิดครบรอบ 17 ปี เพียงไม่นาน ทั้งๆ ที่เขาเคยเป็นกัปตันทีม England Schoolboys แต่นั่นก็เป็นเพียงช่วงที่เขาเรียนในอังกฤษเท่านั้น เขาก็ไม่สามารถเล่นให้ทีมชาติอังกฤษได้ เพราะเขาเกิดและเติบโตที่ เวลส์ ทั้งพ่อแม่ และญาติพี่น้องก็เป็นคนชาติ เวลส์ ดังนั้นเขาจึงต้องเล่นให้กับทีมชาติ เวลส์ เท่านั้น จะเป็นทีมอื่นไปไม่ได้

การลงเล่นนักแรกในลีกให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 1991 เขาต้องลงสนามกับทีมพบกับ เอฟเวอร์ตัน ในสนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด โดยเป็นตัวสำรอง และลงเล่นแทน เดนิส ไอร์วิน และการลงเล่นในศึก แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้แมทช์ ครั้งแรกของเขาก็เป็นช่วงท้ายฤดูกาล โดยที่เขาสามารถทำประตูแรกให้กับทีมได้ และเป็นประตูเดียวที่เขาทำได้ในฤดูกาลนั้น

จากอาการบาดเจ็บของ ลี ชาร์ป ในช่วงต้นฤดูกาล 1991/92 ทำให้ ไรอัน กิ๊กส์ ได้มีโอกาสลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ โดยเล่นในตำแหน่งที่เขาถนัดคือ ปีกซ้าย จากการลงเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำให้เขาได้รับแชมป์กับทีมในทุกๆ ถ้วย เช่น ลีก คัพ ในปี ค.ศ. 1992 ลีก แชมเปี้ยนชิพส์ (พรีเมียร์ ลีก) ในปี ค.ศ. 1993, 1994, 1996, 1997, 1999, 2000 และ 2001 เอฟเอ คัพ ในปี ค.ศ. 1994, 1996 และ 1999 และถ้วย ยูโรเปี้ยน คัพ ในปี ค.ศ. 1999

กับประสบการณ์ระดับชาติเขากลายเป็นนักฟุตบอลที่อายุน้อยที่สุดที่เล่นให้กับ ทีมชาติ เวลส์ โดยนัดแรกกับทีมชาติเขาต้องเผชิญหน้ากับ เยอรมนี ด้วยวัย 17 ปี กับ 321 วัน

ไรอัน กิ๊กส์ ทำประตูที่สุดสวยและน่าจดจำให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มากมาย และนั่นก็รวมถึงประตูที่เขายิงให้กับทีมในศึก เอฟเอ คัพ รอบ semi-final ที่พบกับ อาร์เซนอล ที่ วิลล่า พาร์ค ในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1999 ด้วย ในขณะนั้นเป็นช่วงนาทีสุดท้ายของการต่อเวลา และสกอร์ก็เสมอกันอยู่ที่ 1 - 1 หากจบเกมด้วยการเสมอก็จะต้องมีการยิงลูกโทษ แต่ กิ๊กส์ ก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยเลี้ยงบอลตรงไปยังแนวรับของ อาร์เซนอล และลากหลบนักเตะทีมคู่แข่งถึง 4 คน ก่อนสับไกยิงเต็มข้อ เดวิด ซีแมน หมดสิทธิ์เซฟ ลูกพุ่งเข้าตุงตาข่ายอย่างสวยงาม ทำเอานักวิจารณ์หลายต่อหลายคน ยกให้เป็นประตูสุดสวยแห่งศตวรรษเลยทีเดียว ซึ่งชัยชนะในนัดนี้เป็นหนึ่งในสามแชมป์ที่ทีมปีศาจแดงทำได้ในฤดูกาลนี้

ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมทำให้แฟนบอลต่างก็ส่งเสียงเชียร์เขา พร้อมทั้งแต่งเพลง "Giggs will tear you apart again" เพื่อร้องเชียร์เขาในสนามด้วย

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พูดถึง ไรอัน กิ๊กส์ ก่อนเริ่มฤดูกาล 2000/01 ว่า "ผมรู้ตั้งแต่นัดแรกที่เขาลงเล่นให้กับทีมเลยว่าเขามีความสามารถ และมีพรสวรรค์ และเขาก็เป็นนักเตะที่พิเศษมากคนหนึ่งตลอดช่วง 10 ปีมานี้ เมื่อใดเขาเล่นได้เต็มที่ตามความสามารถของเขาเอง น้อยคนนักที่จะตามจับเขาได้ น้อยคนที่มีฝีเท้าและการทะลุทุลวงอย่างเขา เมื่อเขาได้จับบอล มันเหมือนกับว่าเขาวิ่งได้โดยไม่มีบอลติดเท้านั่นล่ะ"

"เขาทำให้แนวรับฝั่งตรงข้ามหัวปั่น และนอกจากพรสวรรค์ที่เขามีแล้ว เขาก็ฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อทีมด้วย"

จากนั้นก็มีข่าวคราวการย้ายทีมของเขามากมาย แต่ข่าวลือทุกข่าวก็จบลงเมื่อเขาตัดสินใจเซ็นสัญญาอยู่กับทีมไปอีก 5 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 เขากล่าวว่า "ผมหวังว่าปีที่ดีที่สุดของผมกำลังจะมาถึง ผมอายุ 27 ปีแล้วและอีก 3 - 4 ปีข้างหน้า อาจเป็นช่วงสูงสุดในอาชีพค้าแข้งของผม"

10 วันหลังจากนั้น เขาก็ทำประตูให้กับทีมได้ในการแข่งขันกับ โคเวนทรี ซิตี้ ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด และนั่นก็เป็นส่วนช่วยในการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ชิพ ครั้งที่ 7 ของเขา เขาทำประตูที่ 100 ในกับตัวเขาเองในการเล่นให้ทีมปีศาจแดงในวันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 2002 ในนัดที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสมอกับเชลซี 2 - 2 ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์

ลูกคนแรกของเขากับคู่หมั้น สเตซี่ย์ เป็นลูกผู้หญิง ชื่อ ลิเบอร์ตี้ ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 2003 แต่ข่าวดี ก็มาเกิดในช่วงที่ไม่ค่อยดีนักในอาชีพของเขา เพราะช่วงปลายฤดูกาลเขามีฟอร์มการเล่นที่ไม่ค่อยดีนัก ตามมาด้วยเสียงโห่ โดยเฉพาะในนัดที่เขาลงเล่น เวอร์ธิงตัน คัพ รอบ semi-final ที่พบกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด จากแฟนบอลของเขาเอง ซึ่งนั่นถือเป็นการกระทำที่ผิดมหันต์จากผู้ที่เคยให้การสนับสนุนเขามาโดย ตลอด สร้างความกดดันให้กับเขามากทีเดียว

แต่ด้วยความกดดันกลับทำให้เขาฮึดสู้ และกลับมาด้วยฟอร์มการเล่นที่ดีอีกครั้ง ในนัดที่พบกับทีม ยูเวนตุส ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยประตูที่เกิดขึ้นใน สตาดิโอ เดลเล อัลปิ ทำให้ทุกเสียงโห่ต้องเงียบกริบ และเตือนความทรงจำของแฟนๆ ว่าพวกเขาควรจะทำอย่างไรต่อไป...

แม้ว่าจะยังมีข่าวลือเกี่ยวกับการย้ายทีมอยู่เสมอ แต่มันก็เริ่มเบาบางลง และ กิ๊กซี่ ก็ยังคงเป็นนักเตะที่สร้างสรรค์เกมได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร และตามด้วยการคว้าแชมป์ลีก เป็นครั้งที่ 8 กับทีมในปี 2002/03 และ แชมป์ เอฟเอ คัพ ในฤดูกาล 2003/04

เกียรติประวัติกับทีม

ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 2008
อินเตอร์คอนติเนนทัล คัพ 1999
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1998-1999, 2007-2008
พรีเมียร์ ลีก 1992-1993, 1993-1994, 1995-1996, 1996-1997, 1998-1999, 1999-2000, 2000-2001, 2002-2003, 2006-2007, 2007-2008, 2008-2009, 2010-2011, 2012-2013
เอฟเอ คัพ 1993-1994, 1995-1996, 1998-1999, 2003-2004
ลีก คัพ 1991-1992, 2005-2006, 2008-2009
ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 1991
คอมมิวนิตี้ ชิลด์ 1993, 1994, 1996, 1997, 2003, 2007, 2008, 2010, 2013

เกียรติประวัติกับทีมสำรอง และเยาวชน

เอฟเอ ยูธ คัพ 1991-1992
แลงคาเชียร์ ลีก ดิวิชั่น 1 1990-1991

เกียรติประวัติส่วนตัว

Lifetime Achievement Award 2013-2014
PFA Players' Player of the Year 2009
BBC Sports Personality of the Year 2009
Honorary Master of Arts (Salford) 2008
OBE (Order of the British Empire) 2007
PFA Team of the Century 2007
PFA Team of the Year 2009, 2007, 2001, 1998, 1996, 1995, 1994, 1993
United Players' Player of the Year 2006
Wales Player of the Year 2006, 1996
English Football Hall of Fame inductee 2005
Premier League Team of the Decade 2003
Intercontinental Cup Most Valuable Player 1999
Sir Matt Busby Player of the Year 1998
European Under-21 Footballer of the Year 1993
PFA Young Player of the Year 1992, 1993
Jimmy Murphy Young Player of the Year 1991, 1992


3.Paul Scholes 


 
 พอล สโคลส์ (อังกฤษ: Paul Scholes) เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1974 เป็นนักฟุตบอลชาวอังกฤษ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ตำแหน่ง กองกลาง ได้ประกาศแขวนสตั๊ดหลังจบฤดูกาล 2010-2011 และจะทำหน้าที่เป็นโค้ชเต็มตัวให้กับสโมสรต่อไป แต่ถูกเรียกกลับมาช่วยสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ลงเตะอีกครั้ง เมื่อ 8 มกราคม 2012 ในฤดูกาล 2012-2013 ปัจจุบันได้แขวนสคั๊ดอีกครั้งแล้ว
เขาประเดิมสนามในเดือนกันยายน 1994 เป็นเกมลีก คัพ ที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลงเตะที่สนามเวล พาร์ค เกมนั้น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตัดสินใจพักนักเตะซูเปอร์สตาร์ทั้ง เอริค คันโตน่า, พอล อินซ์, มาร์ค ฮิวจ์ส และ อันเดร แคนเชลสกี้ส์

แต่แฟนๆ ในวันนั้นก็ได้เห็นนักเตะที่กำลังจะมีชื่อเสียงในเวลาต่อมาทั้ง เดวิด เบ็คแฮม, แกรี่ เนวิลล์, นิคกี้ บัตต์ และแน่นอน พอล สโคลส์ (ซึ่งตอนนั้นหลายคนยังออกเสียงนามสกุลเขาว่าโชลส์อยู่เลย)

เกมนั้นสโคลส์ยิงคนเดียว 2 ประตูให้ทีมชนะไป 2-1 จากนั้นอีก 2 ทศวรรษต่อมาเขาก็แขวนสตั๊ดในฐานะหนึ่งในมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดตลอดกาลของสโมสร

เขาเป็นนักเตะที่สามารถผลิตสกอร์ได้อย่างต่อเนื่อง และเขาก็เป็นตัวเชื่อมเกมที่ดีในพื้นที่ตรงกลางสนาม เขามักจะแสดงให้เห็นถึงลูกจ่ายระดับโลกให้เห็นอยู่เสมอๆ

"ตอนที่เขาลงเล่นในฐานะมิดฟิลด์ตัวกลาง เขามีมันสมองในการจ่ายบอล รวมถึงมีพรสวรรค์ในการเชื่อมเกมด้วย" เฟอร์กูสันกล่าวเอาไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของเขา "เขาเล่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ ผมชอบที่จะดูเกมที่หลายทีมพยายามตัดเขาออกไปจากเกม เขาจะพานักเตะเหล่านั้นไปยังพื้นที่ที่พวกเขาไม่ต้องการ จากนั้นด้วยการสัมผัสบอลเพียงครั้งเดียวก็สามารถพลิกสถานการณ์ให้ได้เปรียบ ทันที"

มิดฟิลด์ตัวเก่งของบาร์เซโลน่าอย่าง ชาบี เอร์นานเดซ เองก็เคารพในฝีเท้าของสโคลส์เป็นอย่างมาก เขาเคยกล่าวเอาไว้ว่า "ในช่วง 15-20 ปีหลังผมได้เห็นมิดฟิลด์ตัวกลางที่สมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งคนนั้นก็คือสโคลส์ เขาเป็นนักเตะที่สามารถทำได้ทุกอย่างเลยทั้งจ่ายบอลจังหวะสุดท้าย และทำประตู เขาแข็งแกร่งมาก แทบจะไม่ค่อยเสียบอลง่ายๆ หากว่าเขาเป็นคนสเปน เขาอาจจะได้รับการยกย่องมากกว่านี้ก็เป็นได้"

รวมแล้วสโคลส์คว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก ไป 11 สมัย, แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย, เอฟเอ คัพ 3 สมัย, ลีก คัพ 2 สมัย และฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ อีกสมัย โดยประตูที่น่าจดจำที่สุดลูกหนึ่งของเขาคงจะเป็นประตูชัยในรอบรองชนะเลิศแช มเปี้ยนส์ ลีก ปี 2008 ที่เปิดบ้านพบบาร์เซโลน่า

เขาแขวนสตั๊ดครั้งแรกในปี 2011 แต่ด้วยปัญหาในแดนกลางของทีมก็ทำให้เขาหวนกลับมาค้าแข้งอีกครั้งในอีก 6 เดือนต่อมา และนั่นก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ จากนั้นในปี 2013 เขาก็ตัดสินใจแขวนสตั๊ดอีกครั้งด้วยการคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 11 ของเขา รวมแล้วเขาลงเล่นให้กับทีมไปทั้งหมด 718 เกมให้กับทีมปีศาจแดง

4.Gary Neville



แกรี อเลกซานเดอร์ เนวิล (อังกฤษ: Gary Alexander Neville)[3] เกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1975 เป็นอดีตนักฟุตบอลชาวอังกฤษ เป็นแบ็กขวาที่ลงแข่งให้กับฟุตบอลทีมชาติอังกฤษมากที่สุด และเป็นกัปตันสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ปัจจุบันได้แขวนสตั๊ดแล้ว
เนวิลเริ่มอาชีพนักฟุตบอลตลอดอาชีพของเขากับสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไน เต็ด ถือเป็นผู้เล่นที่อยู่ในสโมสรนานที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากไรอัน กิ๊กส์
เขาเริ่มแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศครั้งแรกในปี ค.ศ. 1995 เป็นแบ็กขวาตัวเลือกแรกของสโมสรและประเทศ ยาวนานกว่า 10 ปี
เขามีน้องชายที่เป็นนักฟุตบอลในพรีเมียร์ลีกเช่นกัน คือ ฟิล เนวิล กัปตันสโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตัน
หนึ่งในสมาชิกของคลาส ออฟ '92 แกรี่ เนวิลล์ ใช้ชีวิตตลอดการค้าแข้งกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขาเป็นที่รักของแฟนๆ ด้วยความรักที่มีให้กับสโมสร และการเล่นเกมรับอันเหนียวแน่น เราจะมองย้อนกลับไปในสมัยที่เขายังเป็นนักเตะปีศาจแดง...

อะไรที่ทำให้เขามาถึงจุดนี้ได้? อย่างที่เพลงได้บอกไว้ว่า "Gary Neville is a Red..." หากว่าเขาไม่ได้ลงไปเล่นในสนาม เขาก็จะดูเกมจากบนอัฒจันทร์ ความคลั่งไคล้ในสโมสรของเขานั้นมีให้เห็นอย่างชัดเจน เขาแสดงมันออกมาอย่างเต็มที่เมื่อเดือนมกราคม 2006 เมื่อ ริโอ เฟอร์ดินานด์ โขกประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บเอาชนะลิเวอร์พูล ตอนนั้นเนวิลล์ถึงกับวิ่งจากเส้นกลางสนามไปเฉลิมฉลองต่อหน้าแฟนบอลฝั่งตรง ข้าม เพราะเขาได้สวมใส่ชุดแข่งของทีมปีศาจแดงด้วยหัวใจ แม้มันจะทำให้เขาถูกปรับจากเอฟเอก็ตาม อีกครั้งหนึ่งเกิดขึ้นในอีก 5 ปีต่อมา เป็นเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ เขาไปจูบกับ พอล สโคลส์ ผู้ทำประตูชัยให้กับทีมในวันนั้นได้ในช่วงท้ายเกม

ความสำเร็จสูงสุด... ในฤดูกาล 1995/96 เขาได้เริ่มประสานงานทางกราบขวากับเพื่อนซี้ของเขาอย่าง เดวิด เบ็คแฮม ซึ่งทีมปีศาจแดงก็คว้าแชมป์ทั้งพรีเมียร์ ลีก และเอฟเอ คัพ มาครองได้ท่ามกลางคำวิจารณ์ในช่วงต้นจาก อลัน แฮนเซ่น ซึ่งเคยพูดถึงนักเตะเด็กๆ ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในแง่ลบ จากนั้นหลังคว้าดับเบิ้ลแชมป์ ความสำเร็จก็หลั่งไหลตามมามากมายในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด และเนวิลล์ก็ได้รับโอกาสเป็นคนชูถ้วยแชมป์ให้กับทีม หลังจากที่กัปตันคนก่อนอย่าง รอย คีน อำลาทีมไปในปี 2005

เขาบอก "ตอนที่คุณก้าวเข้าสู่สนามครั้งแรกในตอนเด็กๆ คุณจะหลงรักทีมที่ลงไปวิ่งในสนามด้วยเสื้อสีแดง ในสนามที่ยิ่งใหญ่นั้น บนหญ้าอันเขียวขจีนั้น นั่นทำให้คุณเริ่มเชื่อมโยงเข้ากับสโมสร และคิดว่า 'ว้าว นี่มันใช่สำหรับเราเลย' และมันก็จะเป็นอะไรที่ทำให้คุณเสพติดมันไปตลอดชีวิตเลย"

เราบอก "แกรี่เป็นแบ็คขวาที่ดีที่สุดในอังกฤษในยุคของเขา เขาเป็นตัวอย่างสำหรับเด็กๆ ในแง่ของการทำงานอย่างหนัก จงรักภักดี และเฉลียวฉลาด" - เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

สถิติที่จะทำให้คุณทึ่ง... ตลอดระยะเวลาการค้าแข้งอันยาวนานที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด เนวิลล์คว้าแชมป์ลีกไป 8 สมัย, เอฟเอ คัพ 3 สมัย, ลีก คัพ 2 สมัย และแชมเปี้ยนส์ ลีก อีก 2 สมัย เขามีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาลพีเอฟเอ 5 ครั้ง รวมถึงติดทีมยอดเยี่ยมพรีเมียร์ ลีก ประจำทศวรรษแรก ที่นับจากปี 1992 ถึง 2002 ด้วย

อะไรบางอย่างที่คุณอาจยังไม่ทราบ... เขากับฟิลน้องชายครองสถิติเป็นพี่น้องที่ติดทีมชาติรวมกันมากที่สุด รวมทั้งสิ้น 144 ครั้ง โดยทั้งคู่ได้โอกาสลงเล่นร่วมกันในนามทีมชาติ 31 ครั้ง

คำจำกัดความ ปีศาจแดง

5. Nicky Butt
http://i.dailymail.co.uk/i/pix/2012/10/21/article-2221080-159D1941000005DC-752_306x423.jpg

นิคกี้ บัตต์ เริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตั้งแต่ยังเป็นเยาวชน จนกระทั่งได้มาประเดิมกับทีมชุดใหญ่ในฤดูกาล 1992/93 โดยเป็นตัวสำรองในเกมที่เอาชนะโอลด์แฮม แอธเลติก 3-0 ในศึกพรีเมียร์ ลีก เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 1992 แต่เขาก็ยังไม่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมจนกระทั่งถึงฤดูกาล 1994/95 ซึ่งเขามีตำแหน่งเป็นตัวตายตัวแทนของ รอย คีน ในยามที่เขาได้รับบาดเจ็บหรือติดโทษแบน

ในฤดูกาลดังกล่าวนั้น บัตต์ได้ลงเล่นไปทั้งหมด 35 เกมรวมทุกรายการ ยิงได้ 1 ประตู โดยเขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แพ้ต่อเอฟเวอร์ตันด้วย

จากนั้นเมื่อ พอล อินซ์ ได้ย้ายออกจากทีมไปเล่นกับอินเตอร์ มิลาน ในช่วงปิดฤดูกาลปี 1995 อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็ตั้งใจจะให้บัตต์ลงเล่นแทนในตำแหน่งของอินซ์ซึ่งจะคอยยืนคู่กับคีน และก็ถือว่าบัตต์ทำหน้าที่ได้ดี เขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงบ่อครั้ง ยิงประตูสำคัญๆ ได้หลายลูก

บัตต์ถือเป็นตัวแทนที่สมบูรณ์แบบของคีนในช่วงที่เขาได้รับบาดเจ็บหนักจนไม่ ได้ลงเล่นเป็นเวลานานในฤดูกาล 1997/98 โดยเขาทำหน้าที่เป็นตัวเข้าปะทะบอลในแดนกลาง แต่หลังจากนั้นเมื่อคีนกลับมา และ พอล สโคลส์ ก็พัฒนาฝีเท้าจนก้าวขึ้นมาแย่งตำแหน่งมิดฟิลด์ของทีม โอกาสลงสนามเป็นตัวจริงของบัตต์ก็ลดน้อยลง

อย่างไรก็ตาม บัตต์ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่อไป โดยอยู่ในทีมชุดที่คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ในปี 1999 ด้วย ซึ่งในนัดชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก ปีดังกล่าว เขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงแทนคีนที่ถูกแบน จากนั้นเขาก็ค้าแข้งในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด จนถึงปี 2004 โดยคว้าแชมป์กับทีมได้มากมาย เป็นแชมป์ลีก 6 สมัย, แชมป์เอฟเอ คัพ 3 สมัย และแชมเปี้ยนส์ ลีก อีก 1 สมัย

บัตต์ย้ายไปเล่นกับนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด เมื่อเดือนมกราคม 2004 โดย บ็อบบี้ ร็อบสัน เป็นคนเซ็นสัญญาเขาเข้าทีม แต่บัตต์ก็ยังทำผลงานได้ไม่เข้าตาเท่าไหร่จนถูกปล่อยตัวให้เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ยืมตัวไปเล่นในฤดูกาล 2004/05 โดยฤดูกาลนั้นทีมตราลูกโลกตกชั้น และบัตต์ก็ได้กลับมาเล่นให้กับนิวคาสเซิลภายใต้การคุมทีมของ เกล็นน์ โรเดอร์ ซึ่งดูเหมือนจะใช้งานบัตต์ได้อย่างรู้ใจจนทำให้เขาเป็นตัวหลักในถิ่นเซนต์ เจมส์ พาร์ค

บัตต์ได้กลายเป็นกัปตันทีมสาลิกาดงในฤดูกาล 2009/10 ด้วย หลังจากที่กัปตันคนก่อนของทีมอย่าง ไมเคิล โอเว่น ย้ายไปเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างไรก็ตาม กลับกลายเป็น อลัน สมิธ รองกัปตันทีมที่ได้สวมปลอกแขนลงทำหน้าที่บ่อยกว่าบัตต์ที่ได้รับโอกาสลงเล่นไม่มากนัก

ช่วงปลายอาชีพค้าแข้ง บัตต์ย้ายไปเล่นให้กับเซาธ์ ไชน่า ของฮ่องกง ซึ่งนั่นก็ได้กลายเป็นสโมสรสุดท้ายของเขาก่อนแขวนสตั๊ด จากนั้นบัตต์ก็หันมารับงานโค้ช โดยปัจจุบันเขาทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุดยู-19 ทำศึกยูฟ่า ยูธ ลีก ในฤดูกาล 2013/14


6.Phil Neville
http://www3.pictures.zimbio.com/gi/Manchester+United+v+Juventus+Gary+Neville+j-bMGAheNhpl.jpg

 ฟิลิป จอห์น เนวิลล์ หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ฟิล เนวิลล์ เป็นน้องชายแท้ๆ ของ แกรี่ เนวิลล์ ซึ่งทั้งคู่เป็นส่วนหนึ่งของนักเตะชุดฝูงลูกนกหัดบินของเซอร์ อเล็กซ์ อันโด่งดัง ฟิลเริ่มบ่มเพาะวิชาลูกหนังกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อคาเดมี่ พร้อมกับพี่ชายของเขา จากนั้นก็ได้ประเดิมสนามกับทีมชุดใหญ่ในฤดูกาล 1994/95 แต่ก็ยังไม่ได้มีส่วนร่วมกับทีมมากนักจนกระทั่งฤดูกาลหลังจากนั้น

ในช่วงที่ฟิลค้าแข้งในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด เขาช่วยพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก 6 สมัย, เอฟเอ คัพ 3 สมัย และแชมเปี้ยนส์ ลีก อีก 1 สมัย น่าเสียดายที่เขาไม่ได้เป็นตัวเลือกอันดับแรกของทีมในตำแหน่งแบ็คซ้ายมาตลอด เนื่องจากทีมปีศาจแดงมีนักเตะที่คงเส้นคงวาเป็นเวลานานอย่างน่าเหลือเชื่อ อย่าง เดนิส เออร์วิน ขวางหน้าเขาอยู่นั่นเอง

วันที่ 4 สิงหาคม 2005 ฟิลตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมเอฟเวอร์ตันด้วยค่าตัว 3.5 ล้านปอนด์ ด้วยทัศนคติที่ยอดเยี่ยมในตัวเขา ทำให้เขากลายเป็นนักเตะสุดโปรดของ เดวิด มอยส์ จากนั้นในปีต่อมา เขาก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองกัปตันทีม และเมื่อกัปตันอย่าง เดวิด เวียร์ ย้ายไปร่วมทีมกลาสโกว์ เรนเจอร์ส ในปี 2007 ฟิลจึงได้กลายเป็นกัปตันทีมทอฟฟี่สีน้ำเงินแทนไปโดยปริยาย

เหตุการณ์ที่น่าจดจำมากที่สุดครั้งหนึ่งในวงการลูกหนังก็คือเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2006 การพบกันระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับเอฟเวอร์ตัน กัปตันทีมของทั้ง 2 ทีมก็คือ แกรี่ กับ ฟิล เนวิลล์ ซึ่งเป็นพี่น้องกัน และทั้งคู่ก็ได้นำทีมของตนมาพบกันในเวทีใหญ่อย่างพรีเมียร์ ลีก ด้วย

ฟิลเป็นตัวหลักให้กับเอฟเวอร์ตันมาตลอด จนกระทั่งมาประกาศแขวนสตั๊ดเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2013 โดยปัจจุบันเขาหันมารับงานเป็นโค้ชทีมชุดใหญ่ให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น